การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบผ่านความเห็นทั่วไปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ฉบับที่ 37
Yuval Shany อดีตประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ได้ตอบคำถาม 10 ข้อเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบผ่านความเห็นทั่วไปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติฉบับที่ 37
ศาสตราจารย์ Yuval Shany
Yuval Shany เป็นสมาชิกของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระหว่าง พ.ศ.2556-พ.ศ.2563 ในระหว่างวาระ 8 ปีของการดำรงตำแหน่งดังกล่าวคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้จัดทำความเห็นทั่วไปจำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ ความเห็นทั่วไปฉบับที่ 35 (มาตรา 9 เสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกาย) ความเห็นทั่วไปฉบับที่ 36 (สิทธิในชีวิต) ความเห็นทั่วไปฉบับที่ 37 (มาตรา21 สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ) นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการจัดทำแถลงการณ์ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการเลี่ยงพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) อันเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (CCPR/C/128/2)
คำถามข้อ 1: อะไรคือความเห็นทั่วไป? รัฐภาคีในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) หรือรัฐที่ไม่ได้เป็นภาคีต่อกติกาฯดังกล่าวจำเป็นต้องปฏิบัติตามความเห็นทั่วไปหรือไม่?
ความเห็นทั่วไป (General Comments) ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเป็นเอกสารสำคัญแสดงรายละเอียดการตีความของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (authoritative interpretations) เกี่ยวกับบทบัญญัติต่างๆ ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รวมถึงแนะนำแนวทางเพื่อให้รัฐภาคีปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างมีประสิทธิผล การตีความดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวางกับรัฐภาคีและผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆและได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติโดยหลักฉันทามติ ในความเห็นทั่วไปจะมีการรวบรวมและจัดหมวดหมู่การตัดสินใจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องและพิจารณาคำถามเชิงตีความและคำถามเกี่ยวกับแนวปฏิบัติซึ่งเกิดขึ้นในการทำงานของคณะกรรมการฯและหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ความเห็นทั่วไปได้ให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงแก่รัฐภาคีเพื่อช่วยให้สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และพิธีสารเลือกรับได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าความเห็นทั่วไปจะไม่มีผลผูกพันอย่างเป็นทางการต่อรัฐภาคี (และย่อมไม่มีผลผูกพันอย่างเป็นทางการต่อรัฐซึ่งมิได้รับรองกติกาฯ) แต่เนื่องจากสถานภาพของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาติในฐานะที่เป็นหน่วยงานของผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับเลือกจากรัฐภาคี และได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบในการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของรัฐภาคี ประกอบกับประสบการณ์อย่างกว้างขวางของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในการตีความและปรับใช้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รวมถึงกระบวนการอย่างละเอียดถี่ถ้วนในการจัดทำความเห็นทั่วไป สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ทำให้ความเห็นทั่วไปมีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างสูง จนถึงปัจจุบันคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้จัดทำความเห็นทั่วไปมาแล้ว 37 ฉบับ
คำถามข้อที่ 2: การชุมนุมในลักษณะใดที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้มาตรา 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)?
มาตรา 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองคุ้มครองการชุมนุมโดยสงบ กล่าวคือเป็นการชุมนุมที่ไม่ใช้ความรุนแรงของบุคคลมากกว่าหนึ่งคนเพื่อวัตถุประสงค์โดยเฉพาะ และมักมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการแสดงออก การคุ้มครองการชุมนุมมีขอบเขตที่กว้าง โดยคุ้มครองการชุมนุมที่อยู่กับที่หรือมีการเคลื่อนที่ การชุมนุมในร่มและกลางแจ้ง การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ของเอกชน การชุมนุมออนไลน์หรือวิธีการอื่นๆที่ได้กระทำทางออนไลน์ในอันที่จะเชื่อมโยงกับกับการชุมนุมที่จัดขึ้นตามสถานที่ต่างๆ(เช่นมีการโฆษณาทางออนไลน์เกี่ยวกับการชุมนุม)ล้วนแต่ได้รับความคุ้มครอง
การชุมนุมโดยทั่วไปได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่มีความรุนแรง เว้นแต่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนแสดงถึงการใช้กำลังหรือเจตนาจะใช้กำลังในระดับที่อาจมีผลทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพย์สิน ลักษณะดังกล่าวจัดเป็น “ความรุนแรง” ซึ่งเป็นเหตุให้ตำรวจหรือผู้บังคับใช้กฎหมายสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ การกระทำรุนแรงเฉพาะตัวของผู้ร่วมชุมนุมบางคนไม่ได้ทำให้การชุมนุมโดยรวมเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกับการชุมนุมที่มีการใช้ความรุนแรงที่ร้ายแรงและเป็นวงกว้าง ดังนั้นเมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้นในการชุมนุมเป็นครั้งคราว ตำรวจควรจะจัดการกับองค์ประกอบที่มีความรุนแรงในการชุมนุมนั้นเท่านั้นและไม่สลายการชุมนุมทั้งหมด ความเห็นทั่วไปฉบับที่ 37 ได้ให้ความชัดเจนว่าการกระทำเพียงแค่ผลักหรือดันหรือการขัดขวางการสัญจรของยานพาหนะหรือคนเดินเท้า หรือกิจวัตรประจำวันต่างๆไม่นับว่าเป็นการกระทำที่รุนแรง นอกจากนี้ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยตำรวจหรือผู้ต่อต้านการชุมนุม (counter demonstrators) ไม่ควรส่งผลให้มีการยกเลิกการคุ้มครองผู้ร่วมชุมนุมในการชุมนุมโดยสงบ การพกพาอาวุธเข้าไปในการชุมนุมของผู้ร่วมชุมนุมควรได้รับการตรวจสอบเป็นกรณีไปว่าการกระทำดังกล่าวถือว่ามีเจตนาในการใช้ความรุนแรงหรือไม่
คำถามข้อ 3: การจำกัดสิทธิลักษณะใดที่สามารถจำกัดสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ?
มาตรา 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) อนุญาตให้มีการจำกัดสิทธิบางประการ หากข้อจำกัดนั้นกำหนดโดยกฎหมายและเพียงเท่าที่จำเป็นในสังคมประชาธิปไตย ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ตีความโดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของความได้สัดส่วนระหว่างประโยชน์สาธารณะและความเข้มงวดของการจำกัดการใช้สิทธิ มาตรา 21 กำหนดเหตุอันชอบธรรมในการจำกัดสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ โดยเหตุแห่งการจำกัดสิทธิได้แก่ เพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อย (ordre public) และการคุ้มครองสาธารณสุข การคุ้มครองศีลธรรมของประชาชนหรือสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ความเห็นทั่วไปฉบับที่37 ยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่าการจำกัดสิทธิจะต้องมีเนื้อหาชัดแจ้งและไม่ควรให้อำนาจดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายโดยไร้ขีดจำกัดและอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังได้เรียกร้องให้รัฐภาคีตีความเหตุแห่งการจำกัดสิทธิอย่างแคบ เมื่อมีการจำกัดสิทธิรัฐควรอำนวยความสะดวกแก่ผู้ชุมนุมในการใช้สิทธิให้มากที่สุดเท่าที่กระทำได้ ตัวอย่างเช่น ในกรณียกเว้นบางกรณี เมื่อมีการจำกัดสิทธิของผู้จัดการชุมนุมในเรื่องเวลาและสถานที่ชุมนุมในระยะการ “มองเห็นและได้ยิน”ของกลุ่มเป้าหมาย รัฐควรเสนอทางเลือกเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ในการจัดการชุมนุม โดยหลักแล้วการจำกัดสิทธิในการชุมนุมโดยสงบจะต้องไม่แทรกแซงเนื้อหาการชุมนุม (content neutral) กล่าวคือไม่เกี่ยวข้องกับข้อความที่มีการสื่อสารในระหว่างการชุมนุม ผู้ร่วมขบวนพาเหรดคนรักร่วมเพศควรได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับผู้ร่วมขบวนงานรื่นเริง อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นที่ผู้เข้าร่วมชุมนุมจะไม่ได้รับความคุ้มครองหากเป็นการชุมนุมที่มีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อการสงคราม เพื่อสนับสนุนให้เกิดความเกลียดชังในชาติ เผ่าพันธุ์ หรือศาสนาซึ่งยั่วยุให้เกิดการเลือกปฏิบัติ การเป็นปฏิปักษ์ หรือการใช้ความรุนแรง การเผยแพร่เนื้อหาดังกล่าวควรเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายและตำรวจสามารถจำกัดการชุมนุมซึ่งมีเนื้อหานั้นเป็นข้อความหลักที่สื่อสารในการชุมนุม
คำถามข้อที่ 4: การจำกัดสิทธิในการชุมนุมโดยสงบลักษณะใดที่ไม่สามารถกระทำได้?
การจำกัดสิทธิในการชุมนุมโดยสงบด้วยเหตุอื่นใดนอกเหนือจากเหตุที่บัญญัติไว้ในมาตรา 21 ไม่สามารถกระทำได้ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เช่นเดียวกับการจำกัดสิทธิด้วยเหตุที่บัญญัติไว้ในมาตรา 21แต่ไม่มีเหตุอันสมควรแก่การกระทำเช่นนั้นหรือขาดหลักฐานหรือการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรม การจำกัดสิทธิไม่ควรทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่จำเป็นและไม่ได้สัดส่วน ในบริบทนี้รัฐควรพิจารณาถึงการที่ผู้ชุมนุมเกิดความกลัวที่จะเข้าร่วมการชุมนุมในอนาคตอันเป็นผลจากการจำกัดสิทธิของผู้ชุมนุม เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งซึ่งรัฐจะต้องเคารพคือการจำกัดสิทธิในการชุมนุมจะต้องไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ
ข้อเท็จจริงที่ว่าการชุมนุมโดยสงบทำให้เกิดหรืออาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากสาธารณชนต่อผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ควรเป็นเหตุให้มีการจำกัดสิทธิในการชุมนุม ในทางตรงข้ามการชุมนุมควรดำเนินต่อไปและผู้ร่วมชุมนุมจะต้องได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย ยกเว้นบางกรณีซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่ารัฐไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมหลังจากมีการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว รัฐสามารถจำกัดสิทธิของผู้ร่วมชุมนุมได้
รัฐไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขที่ไม่สมเหตุสมผลในการใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ เช่น การกำหนดให้ผู้จัดการชุมนุมจ่ายค่าใช้จ่ายบริการสาธารณะหรือมีความรับผิดต่อการกระทำของผู้ร่วมชุมนุมคนอื่นๆ
คำถามข้อ 5: เราต้องได้รับ “การอนุญาต” จากเจ้าหน้าที่รัฐในการจัดการชุมนุมโดยสงบหรือไม่?
เนื่องจากสิทธิในการชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน การใช้สิทธิดังกล่าวไม่ควรต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐ ดังนั้นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติมีความเห็นว่ารัฐที่กำหนดให้ต้องมีการขออนุญาตในการชุมนุมถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ในขณะเดียวกันคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยอมรับถึงการที่รัฐมีความชอบธรรมที่จะได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าเกี่ยวกับแผนการจัดการชุมนุม โดยความเป็นจริงระบบแจ้งการชุมนุม (notification regime) ที่ดีจะช่วยให้รัฐสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีในการอำนวยความสะดวกการจัดการชุมนุมได้ เช่น การเบี่ยงการจราจร เป็นต้นและคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตามความเห็นทั่วไปฉบับที่ 37 ระบุถึงการนำระบบการขออนุญาตชุมนุมซึ่งทำหน้าที่เป็นระบบแจ้งการชุมนุมอย่างมีประสิทธิผลมาใช้ เช่น ระบบการขออนุญาตชุมนุมซึ่งมีการอนุญาตให้ชุมนุมเสมอ สามารถกระทำได้
คำถามข้อ 6: รัฐควรคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ“โดยพลัน” อย่างไร?
แม้ว่ารัฐมีการใช้ระบบแจ้งการชุมนุมตามที่สามารถกระทำได้ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ระบบดังกล่าวควรมีข้อยกเว้นสำหรับการชุมนุมโดยพลัน ซึ่งตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบันหรือสถานการณ์ใหม่ทางการเมืองเนื่องจากอาจไม่มีระยะเวลาเพียงพอในการแจ้งการชุมนุมล่วงหน้าต่อเจ้าหน้าที่รัฐ การกำหนดเงื่อนไขการชุมนุมให้มีการแจ้งล่วงหน้าในสถานการณ์ดังกล่าวทำให้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบเป็นเพียงภาพลวงตา
คำถามข้อ 7: รัฐควรคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวของผู้จัดการชุมนุมและผู้ร่วมชุมนุมในการชุมนุมโดยสงบอย่างไร? เช่น การรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาสามารถกระทำได้หรือไม่?
สิทธิในความเป็นส่วนตัวของผู้จัดการชุมนุมและผู้ร่วมชุมนุมในการชุมนุมโดยสงบจะต้องได้รับการเคารพด้วยเหตุผลสองประการ กล่าวคือเหตุผลภายใน (intrinsic reasons) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความจำเป็นในการเคารพความเป็นส่วนตัวของบุคคลทุกคนในทุกสถานการณ์และเหตุผลเชิงเครื่องมือ (instrumental reasons) ซึ่งเกี่ยวกับความกลัวที่เกิดขึ้นจากการเปิดเผยรายละเอียดส่วนบุคคลของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการชุมนุมหรือผู้ร่วมชุมนุม ดังนั้นรัฐจึงไม่ควรใช้เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจตรา (surveillance tools) ซึ่งรวมถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่บนโซเชียลมีเดียของผู้จัดการชุมนุมหรือผู้ร่วมชุมนุมและการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเพื่อระบุตัวตนและจัดเก็บข้อมูลของผู้ร่วมชุมนุม ในทางกลับกันผู้ชุมนุมมีสิทธิที่จะปกปิดใบหน้าของตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนในขณะเข้าร่วมชุมนุม(หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นในการแสดงออก)
ข้อมูลสำคัญซึ่งความเห็นทั่วไปฉบับที่ 37 ได้รวบรวมไว้เกี่ยวกับหัวข้อนี้คือ สิทธิในความเป็นส่วนตัวควรได้รับการเคารพในพื้นที่สาธารณะเช่นกัน ในอดีตผู้ร่วมชุมนุมสามารถรักษาความเป็นส่วนตัวได้และเป็นเพียงแค่ “ใบหน้าหน้าหนึ่งในฝูงชน” ในขณะที่ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการตรวจตราคนจำนวนมากและรวบรวมข้อมูลชีวภาพ ทำให้ผู้ชุมนุมไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนได้เช่นก่อนและละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้จัดการชุมนุมและผู้ร่วมชุมนุม
คำถามข้อ 8: การกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับเนื้อหาการชุมนุมโดยสงบสามารถกระทำได้หรือไม่? เช่น เจ้าหน้าที่รัฐสามารถกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับเนื้อหาที่มุ่งเน้นในเรื่อง “การเมือง” ได้หรือไม่?
โดยหลักแล้วเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถจำกัดสิทธิในการชุมนุมโดยสงบเพียงเพราะเหตุผลด้านเนื้อหาที่มีการสื่อสารในการชุมนุม รัฐจะต้องเคารพหลัก“ความเป็นกลางทางเนื้อหา” (content neutrality) ไม่แทรกแซงเนื้อหาการชุมนุมและอำนวยความสะดวกในการจัดการชุมนุมโดยไม่คำนึงถึงข้อความที่จำเพาะเจาะจงทางการเมืองหรือข้อความอื่นๆซึ่งแสดงออกในการชุมนุมนั้น ยิ่งไปกว่านั้นความเห็นทั่วไปฉบับที่ 37 ยังแนะนำว่า ผู้ชุมนุมทางการเมืองควรได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ เนื่องจากการกล่าวคำปราศรัยทางการเมืองมีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตย
โดยทั่วไปการกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับเนื้อหาการชุมนุมโดยสงบไม่สามารถทำได้ ยกเว้นในกรณีที่การชุมนุมมีข้อเรียกร้องหลักตกอยู่ในบังคับตามมาตรา 20 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย กล่าวคือเป็นการชุมนุมที่มีเนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อใดๆเพื่อการสงคราม การสนับสนุนให้เกิดความเกลียดชังในชาติ เผ่าพันธุ์หรือศาสนาซึ่งยั่วยุให้เกิดการเลือกปฏิบัติ การเป็นปฏิปักษ์ หรือความรุนแรง รัฐภาคีต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิผลต่อการชุมนุมที่มีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อการสงครามหรือสนับสนุนให้เกิดความเกลียดชังดังกล่าวรวมถึงการสลายการชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องหลักละเมิดมาตรา 20 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือดำเนินคดีกับบุคคลซึ่งละเมิดกฎหมายอาญา ซึ่งการกระทำดังกล่าวของรัฐภาคีเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีมาตรา 20 โดยห้ามมิให้มีการสนับสนุนให้เกิดความเกลียดชัง
คำถามข้อ 9 : สถานะการย้ายถิ่นฐาน (immigration status) เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบหรือไม่?
ไม่เกี่ยวข้อง บุคคลทุกคนมีสิทธิในการชุมนุมโดยสงบโดยไม่คำนึงถึงสถานะการย้ายถิ่นฐาน (immigration status) หากผู้จัดการชุมนุมหรือผู้ร่วมชุมนุมต่างชาติได้รับการลงโทษหรือการคุกคามโดยการเนรเทศ หรือการเปลี่ยนสถานะการตรวจลงตราเนื่องจากการใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ จะถือว่ารัฐไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
คำถามข้อ 10: รัฐสามารถห้ามการชุมนุมโดยสงบโดยเด็ดขาด เช่น เพื่อคุ้มครองสาธารณสุขในบริบทของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้หรือไม่? รัฐควรคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบในขณะที่แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไร?
สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบไม่ได้เป็นสิทธิสัมบูรณ์และอาจถูกจำกัดด้วยเหตุผลด้านสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม การห้ามการชุมนุมโดยเด็ดขาดด้วยเหตุผลด้านสาธารณสุขเป็นมาตรการเข้มงวดอย่างมากซึ่งต้องมีเหตุผลที่มีน้ำหนักมาสนับสนุนการใช้มาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมาตรการด้านสาธารณสุขที่รัฐนำมาใช้ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มักมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการใช้สิทธิมนุษยชนที่หลากหลาย(เช่นการจำกัดการเคลื่อนย้าย การทำงาน การศึกษา การชุมนุมทางศาสนา เป็นต้น) และสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบยังถือเป็นการตรวจสอบทางประชาธิปไตยที่สำคัญต่อการใช้ข้อจำกัดด้านสาธารณสุขที่มากเกินไป ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รัฐจำนวนมากได้กำหนดข้อจำกัดสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ แต่ข้อจำกัดเหล่านั้นมักเกี่ยวกับจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยรวม สถานที่ของการชุมนุม(กลางแจ้ง)และการปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุข(การสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่าง) โดยไม่เกี่ยวข้องกับการห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาด ในแง่กฎหมายการกระทำดังกล่าวของรัฐสามารถกระทำได้ เว้นแต่ต้องมีการเลี่ยงพันธกรณีอย่างเป็นทางการเนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉิน หากปราศจากการเลี่ยงพันธกรณีอย่างเป็นทางการแล้ว การห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาดถือเป็นการละเมิดพันธกรณีของรัฐภาคีภายใต้มาตรา 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และแม้ว่ารัฐมีการเลี่ยงพันธกรณี แต่การห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาดถือว่าเป็นมาตรการที่เข้มงวดเกินไปและไม่เป็นไปตามเงื่อนไขเรื่องความจำเป็นและความได้สัดส่วนซึ่งยังคงบังคับใช้แม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ดังแถลงการณ์ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการเลี่ยงพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (CCPR/C/128/2) ได้อธิบายไว้)
แปลโดย: สิริมา ศิริเพ็ญวัฒนา